เมนู

บัดนี้เราล่วงบุญและบาปได้ทั้งสองอย่าง
แล้ว ได้บรรลุบรมสันติ เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
เราแต่งตั้งเสนาสนะให้ท่านผู้มีวัตรอันดี
งามทั้งหลายยินดี พระพิชิตมารทรงพอพระทัยใน
คุณข้อนั้นจึงได้ทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว. . .คำสอน
ของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล
จบทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

534. อรรถกถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 4 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระทัพพมัลลปุตตเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร
นาม ชิโน
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระ-
องค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมแต่บุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากใน
ภพนั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้
เกิดเป็นบุตรเศรษฐี ได้เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยสมบัติ เขาเลื่อมใสในพระศาสดา

กำลังฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาอยู่ได้มองเห็นภิกษุรูปหนึ่ง ผู้ซึ่ง
พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุผู้จัดแจงเสนาสนะแล้ว
มีใจเลื่อมใส นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้ถวายมหาทาน
ตลอด 7 วัน พอล่วงได้ 7 วัน ได้หมอบลงแทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบถึงความ
สำเร็จของเขาจึงได้ตรัสพยากรณ์แล้ว.
เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมจนตลอดชีวิตแล้วจุติจากอัตภาพนั้น ได้เสวย
ทิพยสมบัติในหมู่เทวดาชั้นดุสิตเป็นต้น แล้วจุติจากอัตภาพนั้น ในกาลแห่ง
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เขาได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง เพราะ
ได้คบหากับอสัปบุรุษ แม้รู้ว่าภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เป็นพระอรหันต์ก็ยังได้พูดกล่าวตู่ด้วยคำไม่จริง. เขาได้ถวายสลากภัตรน้ำนม
แด่พระสาวกทั้งหลาย ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นนั่นแล. เขาได้ทำบุญจน
ตลอดอายุแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง
2 แล้ว ในกาลแห่งพระกัสสปทศพล เขาได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในกาล
ที่สุดบวชแล้วในพระศาสนา เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ความ
โกลาหลอลหม่านก็ได้เกิดขึ้นในสกลโลก ภิกษุ 7 รูป เป็นบรรพชิตในรูป
ยังภูเขาลูกหนึ่งในท่ามกลางป่า ในปัจจันตชนบทแล้ว ผลักพะองให้ตกลง
ด้วยคิดว่า ความหวังในชีวิต จงตกลงไป ความสิ้นอาลัย จงจมลงไปเสียเถิด
หัวหน้าพระเถระผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้น ภายใน 7 วัน ก็ได้เป็นพระ-
อรหันต์. พระเถระที่รองลงมาจากพระเถระนั้น ได้เป็นพระอนาคามี. พระเถระ

อีก 5 รูปนอกนี้ เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วไปบังเกิดใน
เทวโลก. ได้เสวยทิพยสุขในเทวโลกนั้นตลอดพุทธันดรหนึ่ง. ในพุทธุปบาท
กาลนี้ ภิกษุ 4 รูปเหล่านั้นคือ ปุกกุสาติ 1 สภิยะ 1 พาหิยะ 1 กุมารกัสสปะ 1
ได้บังเกิดแล้วในที่นั้น ส่วนพระเถระนี้ได้บังเกิดในอนุปิยนครในมัลลรัฐ.
มารดาได้กระทำกาละเสีย ในระหว่างที่ทารกนั้นยังมิทันได้ออกจากท้องมารดา
แล. ลำดับนั้น บุคคลหนึ่ง จึงให้ช่วยกันยกร่างของนางขึ้นวางบนจิตกาธาน
เพื่อทำการฌาปนกิจ แล้วได้ช่วยกันรับประคับประคองกุมารซึ่งตกลงมาใน
ระหว่างกองไม้ไว้. ดังนี้ พระเถระนี้ จึงได้ปรากฏชื่อว่า ทัพพมัลลบุตร เพราะ
ตกลงมาที่กองไม้. ในกาลต่อมา ด้วยอำนาจบุญสมภารที่ทำไว้ในปางก่อน
ท่านจึงได้บวชแล้วประกอบความเพียรเจริญกัมมัฏฐาน ไม่นานเท่าไรนัก ก็ได้
บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4.
ลำดับนั้น พระศาสดา จึงทรงมอบหมายท่านไว้ในตำแหน่งจัด
เสนาสนะ และในตำแหน่งจัดแจงเรื่องภัตรแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะว่าท่าน
วางตนเป็นกลาง และเพราะท่านมีอานุภาพสมบูรณ์ และพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมด
ก็พร้อมกันยกย่องท่าน อันว่าเรื่องนั้นได้มาแล้วในวินัยขันธกะนั้นแล. ใน
กาลต่อมาพระเถระได้เจาะจงสลากภัตรของท่านผู้ให้สลากอันประเสริฐคนหนึ่ง
แก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ. พวกภิกษุเหล่านั้น ร่าเริงดีใจ พูดกันว่าพรุ่งนี้
พวกเราจักบริโภคภัตรที่เจือด้วยถั่วเขียวเนยใสและน้ำผึ้งของเรา ดังนี้แล้วจึง
ได้มีความอุตสาหะ. ฝ่ายอุบาสกนั้น ทราบว่าถึงวาระของภิกษุเหล่านั้นจึงสั่ง
นางทาสีว่า แน่ะแม่ พรุ่งนี้ภิกษุเหล่าใดจักมาถึงในที่นี้เจ้าจงอังคาสภิกษุเหล่านั้น

ด้วยข้าวปลายเกรียน มีน้ำผักดองเป็นที่ 2 แม้ทาสีนั้นก็ได้นิมนต์ให้
ภิกษุเหล่านั้นผู้มาถึงแล้วให้นั่ง ณ ที่มุมซุ้มประตู นิมนต์ท่านบริโภคแล้วอย่าง
ที่นายสั่งนั่นแล. ภิกษุเหล่านั้น ไม่พอใจ เดือดดาลอยู่ด้วยความโกรธ ผูก
อาฆาตในพระเถระพูดติเตียนว่า พระเถระรูปนั้นแหละ ทำใช้ให้ทายกผู้ให้
ภัตอันอร่อย สั่งให้ให้ภัตรอันไม่อร่อยแก่พวกเรา จึงมีความทุกข์ เศร้าใจ
นั่งแล้ว. ลำดับนั้น นางภิกษุณีชื่อว่าเมตติยาจึงถามภิกษุเหล่านั้นว่า ข้าแต่
ท่านผู้เจริญ ท่านมีความทุกข์ใจเรื่องอะไร ? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า น้องหญิง !
เรื่องอะไรพวกเราจึงมาถูกพระทัพพมัลลบุตรเบียดเบียน คอยเพ่งโทษ. นาง
ภิกษุณีจึงถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ มีเรื่องอะไรที่ดิฉันพอสามารถจะช่วยทำได้
ไหม ? ภิกษุเหล่านั้นพูดว่า เธอจงยกโทษของพระทัพพมัลลบุตรนั้นขึ้นเถิด.
นางภิกษุณีนั้น จึงได้กระทำการกล่าวตู่ยกโทษแก่พระเถระในเรื่องนั้น ๆ. ภิกษุ
ทั้งหลายได้สดับเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบทูลให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทราบ
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงรับสั่งเรียกหาพระทัพพมัลลบุตรแล้ว
ตรัสถามว่า ทัพพะ ได้ยินว่าเธอได้กระทำประการอันแปลกแก่นางเมตติยา
ภิกษุณี จริงไหม ? พระทัพพมัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่าข้าพระองค์เป็นอย่างไร. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสว่า ทัพพะ พวกทัพพมัลลบุตรทั้งหลาย ย่อมไม่อธิบายอย่างนั้นแล
เธอจงบอกมาว่า เป็นผู้กระทำหรือว่าไม่ได้เป็นผู้กระทำ. พระทัพพมัลลบุตร
กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่ได้เป็นผู้กระทำพระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงประกอบภิกษุเหล่านั้นให้เมตติยาภิกษุณี

พินาศเสีย ภิกษุทั้งหลายมีพระอุบาลีเถระเป็นประธาน จึงสั่งให้นางภิกษุณี
นั้นสึกเสียแล้ว ซักถามพวกภิกษุเมตติยภูมชกะ เมื่อพวกภิกษุเหล่านั้น กราบ
เรียนว่า พวกเราได้ใช้นางภิกษุณีนั้นเอง ดังนี้แล้วจึงได้พากันกราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ. พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงบัญญัติ
อาบัติสังฆาทิเสสในเพราะกล่าวตู่เรื่องอันไม่มีมูลแก่พวกภิกษุเมตติยภูมชกะ.
ก็โดยสมัยนั้นแล พระทัพพเถระเมื่อจะจัดแจงเสนาสนะสำหรับพวก
ภิกษุ คือเมื่อจะส่งพวกภิกษุผู้ที่เสมอกันไปในพระมหาวิหาร 18 แห่ง รอบ
พระเวฬุวันมหาวิหาร ในส่วนแห่งราตรีในเวลามืด ใช้นิ้วทำแสงประทีป
ให้ลุกโพลงแล้ว ส่งพวกภิกษุผู้ไม่มีฤทธิ์ไปด้วยแสงสว่างนั้นนั่นแล เมื่อ
หน้าที่จัดแจงเสนาสนะและหน้าที่จัดแจงเรื่องภัตรของพระเถระเกิดปรากฎแล้ว
อย่างนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงแต่งตั้งพระทัพพเถระไว้ในฐานันดร ใน
ท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้าจึงทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย พระทัพพมัลลบุตร เป็นผู้เลิศแห่งหมู่ภิกษุสาวกของเรา ผู้จัดแจง
เสนาสนะแล.
พระเถระ ระลึกถึงบุรพกรรมของตน เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะ
ประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้น
ว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้ ถ้อยคำนั้นทั้งหมดมีเนื้อความดังที่ข้าพเจ้า
ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. เธอมีความว่าในกัปที่ 91 แต่นี้ไป พระ
ผู้นำของชาวโลกพระนามว่า วิปัสสีทรงได้อุบัติขึ้นแล้วในโลกแล. บทว่า
ทุฏฺฐจิตฺโต ความว่าผู้มีจิตอันโทษประทุษร้ายแล้ว คือ ผู้มีจิตไม่ผ่องใสเพราะ
สมาคมกับคนไม่ดี. บทว่า อุปวทึ สาวกํ ตสฺส ความว่า เราได้ให้ร้ายพระ
สาวกที่เป็นพระขีณาสพ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น คือ เราได้ยก

เอาถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงกล่าวทับถม ได้แก่เราได้กระทำการกล่าวตู่ด้วยเรื่องที่
ไม่เป็นจริง. บทว่า ทุนฺทุภิโย ความว่า เภรีท่านเรียกว่าทุนทุภิ กลอง
มะโหระทึกเพราะเปล่งเสียงว่า ทุง ทุง ดังนี้. บทว่า นาทยึสุ แปลว่า เปล่ง
เสียงดัง. บทว่า สมนฺตโต อสนิโย เชื่อมความว่า ประกอบลงแล้วในหิน
คือให้พินาศไปโดยทิศาภาคทั้งหมด รวมความว่า สายฟ้าอาชญาของเทวดา
อัน นำมาซึ่งความหวาดกลัวได้ผ่าแล้ว. บทว่า อุกฺกา ปตึสุ นภสา ความว่า
ก่อกองไฟได้ตกลงแล้ว จากอากาศ. บทว่า ธุมเกตุ จ ทิสฺสติ ความว่า และ
กองไฟอันประกอบด้วยกลุ่มควัน ย่อมปรากฏชัดเจน. คำที่เหลือ มีเนื้อความ
พอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

กุมารกัสสปเถราปทานที่ 5 (535)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุมารกัสสปเถระ



[125] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก
ทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ มีพระนามว่าปทุมุตตระ
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์มีชื่อเสียง
โด่งดัง รู้จบไตรเพท เที่ยวไปในที่พักสำราญ
กลางวัน ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นายกของ
โลก กำลังทรงประกาศสัจจะ 4 ทรงยัง
มนุษย์พร้อมด้วยทวยเทพให้ตรัสรู้ กำลังทรง